โรคกลัวตาย

โรคกลัวตายเป็นโรคทางการแพทย์ชนิดหนึ่งซึ่งเรียกชื่อทางการแพทย์ได้ว่าโรคแพนิก ซึ่งอาการแบบนี้เชื่อว่าหลาย ๆคนคงเป็นอยู่ หรืออาจจะเป็นแล้วหายแล้วหรือหายแล้วเป็นอีก ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกภาษาแบบเราๆว่าโรคกลัวตาย ซี่งคนเรานั้นปกติจะจิตวอกแวกอยู่แล้วอยู่ที่ว่าสมองและการสั่งการของแต่ละคนว่าไห้นึกถึงเรี่องนี้อยู่ไม่

ซึ่งหลายๆคนอาจจะนึกแล้วลืม แต่คนที่เป็นหนักมาก ๆถึงกับขนาดเครียดและไม่รับประทานอาหารเลย หรือรับประทานอาหารไม่ลงเลยทีเดียว เพราะเวลาจะทานอะไรก็นึกว่าจะมีอะไรมาติดคอหรือเปล่าจนทำไห้เสียชีวิต หรืออาจจะกลัวว่าแพ้อันนี้แล้วหายใจไม่ออก ซึ่งมันไม่ใช่เสมอไปนะ ว่าแพ้ ซึ่งการคิดมากหรือเครียดมาก ๆเนี่ยอาจจะทำไห้เราหายใจไม่สะดวกหรือหายใจติดขัดได้อย่างเห็นได้ชัดเจน

ซึ่งอาจจะทำไห้เราที่กลัวตายอยู่แล้วนั้นคิดมากขึ้นไปเป็นอีกร้อยเท่าพันเท่าทวีคูณ จนบางคนถึงขั้นกับไม่ยอมออกไปจากบ้านเลยเพราะกลัวโดนรถชนหรือเป็นไข้บ้างหล่ะ ซึ่งการกลัวตายมันก็ไม่แปลกอะไรเลยนะคะ เพียงแต่ขอไห้ลืมมันไปถ้ามันถึงกับเป็นหนักมากถึงขนาดนี้ล่ะก็ควรไปพบจิตแพทย์ได้เลยค่ะ ถ้าปล่อยไว้นั้นเราอาจจะไม่มีความสุขในชีวิต ทำเอาคนรอบข้างนั้นจิตตกไปตามเราด้วย ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ ส่วนอาการแพนิกที่พบได้ทั่วไปก็คือ การจะนอนหลับแต่สมองเจ้ากรรมดันไปคิดถึงเรื่องที่เราจะตายยังไงนี่ล่ะสิ ถึงกับจิตตกวูบไปตาม ๆกัน

เพราะทำไห้เรารู้สึกไม่อยากที่จะเจ็บปวดกับร่างกายก่อนตาย ทำไห้เราคิดมากเป็นวัน ๆเลยทีเดียวเลยล่ะ หรือบางคน2-3วัน หรือบางคนนอนคิดทุก ๆคืนจนทำไห้นอนไม่หลับคิดจนที่ว่าเครียดนอนไม่ได้ กลัวนอนอยู่ดี ๆแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาก็มี ซึ่งถ้าใครมีอาการแบบนี้หรือมีอาการที่คิดว่าตัวเองหนักแล้วจริง ๆควรไปพบจิตแพทย์โดยด่วนค่ะ คุณหมอจะไห้คำแนะนำที่ดีมาอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้ชีวิตโดยการทำไห้จิตใจแจ่มใสไม่เครียดนั้นเป็นลาภอันประเสริฐเช่นเดียวกันกับการไม่มีโรคเช่นกัน ถ้าเราเครียดเราก็จะนอนไม่หลับทำไห้เราเสียสุขภาพจิตเปล่าๆส่วนโรคกลัวตายนั้น ใครมีอาการข้างต้น เช่นเครียดและกลัวจนไม่กล้าออกจากบ้านหรือถึงกับรับประทานอาหารไม่ลงเพราะกลัวตายล่ะก็ ขอไห้ไปพบจิตแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจจะทำไห้เราเสียสุขภาพจิตไปมากแล้วยังจะทำไห้เราเสียสุขภาพไปด้วยเช่นเดียวกัน

 

สนับสนุนโดย  ซื้อหวยออนไลน์ เว็บไหนดี

โรคตาแดง

โรคในปัจจุบันนี้มีมากมายหลายชนิด  ทั้งที่ป้องกันได้และป้องกันไม่ได้  เช่นโรคติดต่อทางสายตา  หรือเรียกว่า โรคตาแดง  เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นโรคไม่ร้ายแรง แต่ติดต่อกันได้ง่าย หากรักษาไม่ถูกต้องอาจติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เสียดวงตาได้ ดูเหมือนคนเราส่วนใหญ่มองข้ามโรคติดต่อ  ตาแดงเป็นเรื่อง  ไม่อันตรายร้ายแรง 

เพราะคนเป็นกันบ่อยและหายขาดได้ง่าย โดยอาการเริ่มแรกของผู้ป่วยโรคตาแดง       จะมีอาการเคืองตา   คันตา  ปวดตา  น้ำตาไหล  ดวงตาไม่สู้แสงแดด  แสงไฟ  มีขี้ตาขึ้นข้างใดข้างหนึ่งก่อน  เมื่อขยี้ตาทำให้เยื่อตาแดง  หากขยี้ตาบ่อย ๆ มันจะลุกลามมายังดวงตาอีกข้างได้อย่างรวดเร็ว  เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อโรคตาแดง  มีโอกาสแพร่เชื้อตาแดง ให้กับคนอื่นได้รวดเร็วมาก  ติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย  จากการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย  หรือการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย  โรคตาแดงเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย  หากเกิดกับเด็ก  อาการติดเชื้อจะหายได้ช้ากว่าผู้ใหญ่ 

เนื่องจากเด็กยังมีการรักษาความสะอาดยังไม่   ดีพอ และไม่ระมัดระวังในการดูแลตัวเองเท่ากับผู้ใหญ่  ทำให้อาการหายช้า และลุกลามเกิดทั้งสองข้าง       ได้ง่าย  โรคตาแดงจะมีอาการคันดวงตามาก  ผู้ป่วยจะชอบขยี้ตาด้วยมือ  ซึ่งมือของเราไม่สะอาด  มีเชื้อโรค  ไม่ล้างมือก่อนการขยี้ตา  ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย  หากอาการรุนแรงจนทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย  ทำให้เยื้อดวงตาติดเชื้ออย่างรุนแรง  อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการตามัวลุกลาม จนทำให้ผู้ป่วยเสียดวงตาได้  

ไม่น่าเชื่อว่าแค่โรคตาแดงที่ทุกคนมองว่าเป็นโรคธรรมดาไม่ร้ายแรง  เกิดขึ้นได้ก็หายเองได้แค่ประมาณไม่เกิน 1-2 สัปดาห์  แต่ทุกคนลืมไปว่าโรคตาแดงเป็นโรคติดต่อ และติดต่อได้ง่ายกว่าโรคติดต่อชนิดอื่น  ถึงจะติดต่อไม่รุนแรงถึงขั้นชีวิต  แต่ใครเป็นแล้วจะแพร่เชื้อให้กับคนรอบข้างได้ง่าย  จากหนึ่งคนเป็นสองคน  สามคนได้ง่ายดาย  การดูแลรักษาต้องรักษาความสะอาดในร่างกายผู้ป่วยด้วย  ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือบ่อย  ระวังไม่ให้แมลงหวี่มาตอมตา  เพราะแมลงหวี่ก็เป็นตัวนำเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่เราป้องกันยาก  แมลงหวี่ชอบตอมดวงตา 

เมื่อเราได้รับเชื้อให้รีบไปพบแพทย์รักษาดวงตาอย่างรวดเร็ว  แพทย์จะรักษาด้วยการหยอดยาเพื่อป้องกันการแทรกซ้อน ของเชื้อแบคทีเรีย  เมื่อเราป่วยผู้ป่วยเองต้องหลีกเลี่ยงการไป         ในสถานที่ ที่มีคนอยู่จำนวนมาก  ควรรักษาหยอดยาตามแพทย์สั่งจนอาการดีขึ้น  จึงออกไปในสถานที่        ที่มีคนมากได้เป็นการป้องกัน  ไม่ให้แพร่เชื้อให้กับคนอื่นได้ การดูแลรักษาสุขภาพ   การรักษาความสะอาดมือ  ของใช้ต่างๆ ก็เป็นการป้องกันห่างไกลจากโรคติดต่อต่าง ๆได้เช่นกัน

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  แทงหวยออนไลน์

ที่สุดของผักที่สามารถช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายได้

สารพิษที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรานั้นสามารถขจัดออกได้ด้วยการกินผักและผลไม้ที่มีคุณสมบัติในการช่วยกำจัดขับของเสียรวมถึงสารพิษออกจากร่างกายเรามาดูกันว่ามีผักอะไรบ้างที่จะช่วยเรากำจัดสารพิษเหล่านี้ออกมาจากร่างกายโดยวิธีการทางธรรมชาติ

1 กะหล่ำปลี เชื่อว่าหลายคนคงรู้แล้วว่ากะหล่ำปลี ที่เรากินเข้าไปจะมีสารต้านมะเร็งอยู่หลายชนิดด้วยกันอีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูนอิสระที่จะไปช่วยบริเวณตับให้กำจัดสารพิษออกจากตับและระบบทางเดินอาหารซึ่งสารพิษเหล่านี้มักจะเกิดจากควันบุหรี่ดังนั้นการกินกะหล่ำปลีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างดียิ่ง        

2 ขึ้นฉ่ายการกินขึ้นฉ่ายทำเป็นแบบต้นหรือทั้งแบบเมล็ดจะสามารถช่วยกำจัดสารพิษที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราออกไปได้รวมถึงขึ้นฉ่ายมีสารต้านมะเร็งอยู่หลายชนิดอีกทั้งยังช่วยกรองสารพิษที่มาจากควันบุหรี่ลดอาการอักเสบดังนั้นการกินขึ้นฉ่ายจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมากที่สำคัญขึ้นฉ่ายสามารถช่วยในเรื่องของการดีท๊อกซ์เลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

3 กระเทียมเรารู้อยู่แล้วว่ากระเทียมสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ซึ่งแบคทีเรียที่กระเทียมกำจัดนั้นจะอยู่ในร่างกายดังนั้นเมื่อเรากินกระเทียมเข้าไปมันจะไปชะล้างแบคทีเรียที่อยู่ตามเส้นเลือดและลำไส้รวมถึงกำจัดพยาธิออกไปจากร่างกายของเราได้อย่างดีเยี่ยมและหากใครอยากจะให้ปอดรวมถึงระบบทางเดินหายใจสะอาดการกินกระเทียมจะช่วยในเรื่องเหล่านี้ได้อีกด้วยสำหรับกระเทียมนั้นเราสามารถกินได้ทั้งกระเทียมสดหรือกระเทียมที่นำมาแปรรูปเป็นกระเทียมผงหรือกระเทียมอัดเม็ดก็ได้          

4 ผักคะน้าผักใบเขียวที่มีประโยชน์มากมายหลายชนิดอีกทั้งยังช่วยเรื่องของการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและที่สำคัญคณะมีสารที่จะไปแก้ปัญหาสารพิษในควันบุหรี่ให้มีสถานะเป็นกลางและสายใยอาหารของคณะจะช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหารและสามารถล้างสารพิษในตับออกไปได้ด้วยดังนั้นใครที่กินคะน้ามั่นใจได้เลยว่าคะน้าจะช่วยให้ร่างกายของคุณปลอดภัยจากสารพิษได้หลายชนิดแน่นอน

5 พืชตระกูลถั่วห้าคุณกินถั่วไม่ว่าจะเป็นถั่วต้มหรือผลิตภัณฑ์ที่ขายทัวร์พวกมันจะเต็มไปด้วยสารอาหารที่เข้าไปช่วยลดคลอเรสเตอรอลในร่างกายของคุณรวมถึงมันจะเข้าไปรักษาความสมดุลย์ของน้ำตาลในเลือดและยังทำความสะอาดลำไส้ให้อีกด้วยที่สำคัญเพื่อตระกูลถั่วยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อีกหลายชนิด               

เห็นไหมคะว่าผักแต่ละชนิดมีประโยชน์กับร่างกายเป็นอย่างมากอีกทั้งยังสามารถช่วยกำจัดสารที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเราได้อีกด้วย ดังนั้นทุกมื้ออาหารของเราอย่าลืมที่จะกินผักเข้าไปด้วยนะคะ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  หวยลาวจ่ายบาทละเท่าไร

ใครที่อยากมีผิวขาวๆจนเพื่อนทักเชิญทางนี้

สาวๆคนไหนที่อยากมีมีผิวที่ขาวใส และใช้งบไม่แพงเชิญมาทางนี้เลยค่ะเพราะเราจะมาบอกสูตรวิธีที่เราทำขาวใสภายในไม่กี่วัน   โดยส่วนตัวเราเป็นสาวโรงงานที่หาเช้ากินค่ำเหมือนกันจะให้ของแพงๆๆราคาหลายๆพันเราก็ไม่ไหวค่ะ  เพราะว่าชีวิตสาวโรงงานบางทีเราต้องเจอทั้งแดดที่แรงเหมือนกัน  จนทำให้ผิวเสีย ดำ  

สูตรขมิ้น+ นมจืด เราจะมาบอกสูตรที่พอกผิวด้วยขมิ้นกับนม    ก่อนอื่นเราต้องเตรียม ขมิ้นสดแล้วเอาไปทำความสะอาดล้างด้วยน้ำเปล่า  แล้วนำมาปอกเปลือกแล้วหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ สักหนึ่งกำมือ แล้วเอาปั่นในเครื่องปั่น หรือถ้าใครไม่สะดวกปั่นเราก็เอาขมิ้นสดที่เป็นผงมาแทนก็ได้นะค่ะ 

จากนั้นใส่น้ำมะนาวหนึ่งลูก ตามด้วยน้ำผึ้งหนึ่งช้อน นมสดหนึ่งกระป๋อง แล้วตามด้วยดินสอพองประมาณ 4 ก้อน  จากนั้นนำส่วนผสมมาบดหรือปั่นรวมกัน ให้เป็นเนื้อเดียวกัน  จากนั้นเราก็ไปทำความสะอาดผิวกาย  จากนั้นเราก็นำส่วนผสมที่เราทำไว้เมื่อสักพัก  เอามาพอกที่ตัวเรา ตามที่เราต้องการ ทางทั้งตัวเลยค่ะ จะได้ผิวสวยๆ เช่นแขนขา หลังจากที่เราพอกเสร็จแล้วควรทิ้งไว้สัก 15 นาทีหลังจากนั้นเราก็ล้างด้วยน้ำเปล่า จากนั้นเราจะได้ผิวที่เนียนนุ่ม ขาวเลยล่ะค่ะ 

สูตรเบกกิ้งโซดา + มะขามเปียก  +นมสด   สูตรนี้ทำได้ผิวหน้าและตัวเลยนะค่ะ วิธีทำเราเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาแล้วเอาน้ำมะขามเปียกหนึ่งช้อนชา  แล้วก็นมสดครึ่งแก้ว จากนั้นนำมาผสมกันจะได้เนื้อที่เหลว พอเราผสมเสร็จเราก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวให้สะอาด หรือว่าเราจะอาบน้ำอุ่นนั้นเป็นอะไรที่ดีมาก

เพราะเราจะเปิดผิวเราเปิดรูขุมขนทำให้ผิวเราเตรียมพร้อมหรือว่าเราจะใช้ใยบวบมาขัดตัวเพื่อที่เรานั้นจะเปิดผิวเรา จากนั้นเราก็นำส่วนที่เราผสมไว้นั้นมาพอกที่ตัวเรา อันนี้เราสามารถนำมาทาที่หน้าเราได้ หรือเราจะทาที่ตัวเราต้องการความขาวใส เราก็ทาตรงนั้นแล้วทิ้งไว้สัก 15 นาที หลังจากที่เรานั้นทาเสร็จเรียบแล้วทิ้งไว้ตามเวลา จากนั้นเราก็ล้างน้ำสะอาดอีกทีหนึ่ง คราวนี้เรามาดูความขาวใส หลังจากที่เรานั้นทำความสะอาดเรียบร้อย เรามาดูความเปลี่ยนแปลง ของผิวเรา ผิวของเราจะขาว สวย ใส 

เป็นไงบ้างค่ะสาวๆสูตรที่เราให้ไป ลองไปทำดูนะค่ะ ประหยัดด้วย เราสามารถหาได้ตามบ้านหรือตามท้องตลาดทั่วไป แถมเป็นสมุนไพรอีกทั้งไม่ทำร้ายผิวของเราด้วยไม่ต้องไปเสียตังเข้าสปาที่แพงๆกันหรอกค่ะ 

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  แทงหวยมาเลย์

คุณคิดว่าการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อบนถนนจะช่วยป้องกันอันตรายจากเชื้อไวรัสได้จริงหรอ

            ก่อนหน้านี้เราคงจะเห็นข่าวกันว่ารัฐบาลได้มีการนำกองกำลังทหารออกมาพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามถนนหนทางต่างๆในช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตี 4 เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งอาจจะมีการติดตามพื้นดินหรือตามสถานที่ต่างๆที่ผู้ติดเชื้อเองอาจจะเคยไปใช้บริการมาก่อนซึ่งมีการทำเป็นประจำทุกคืนโดยจะมีทางเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้ดำเนินการเดินฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ

แต่คนอาจจะเคยสงสัยว่าการกระทำเช่นนี้มันสามารถช่วยให้ประชาชนปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโคโรน่าได้จริงหรอซึ่งถ้าตามหลักของความเป็นจริงแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่การฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อเหล่านั้นจะช่วยได้เพิ่มเมื่อเราฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อไปแล้วหากมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าป้ายน้ำลายหรือเมื่อนำสารคัดหลั่งมาป้ายตามพื้นผิวต่างๆอย่างไรเสียเชื้อโรคก็จะยังคงอยู่ตรงบริเวณที่ผู้ติดเชื้อนำมาป้ายหากใครไม่รู้แล้วมาจับโดนบริเวณนั้นก็จะได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทันทีดังนั้นการที่ทางรัฐบาลนำน้ำยาฆ่าเชื้อมาฉีดให้ประชาชนเพื่อต้องการลดความเสี่ยงที่ประชาชนจะติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้น

ถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองน้ำยาเป็นอย่างมากเพราะถึงแม้ว่าฉีดพ่นในตอนกลางคืนเมื่อเช้าขึ้นมาผู้คนเดินสัญจรไปมาเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครบ้างที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้วเชื้อไปติดอยู่ตรงไหนบ้างดังนั้นการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในตอนกลางคืนจึงถือว่าไม่สามารถช่วยคุ้มครองประชาชนได้แถมยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุอีกด้วยที่สำคัญหากว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา

พึ่งมีการปล่อยสารคัดหลั่งที่มีเชื้อโรคออกมาไม่ว่าจะมาจากทางน้ำลายหรือจากทางเสมหะการที่เราไปฉีดพ่นโดนสารคัดหลั่งเหล่านั้นโดยที่จะคัดหลังยังเปียกอยู่จะทำให้เชื้อโรคฟุ้งกระจายไปมากขึ้นกว่าเดิมซึ่งวิธีการนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับประชาชนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำดังนั้นสิ่งที่ประชาชนจะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสด้วยตนเองก็คือการสวมใส่หน้ากากอนามัยการสวมใส่ถุงมือและการล้างมือบ่อยๆรวมถึงการใช้เจลล้างมือ  

และพยายามไม่จับสิ่งของร่วมกับผู้อื่นรวมถึงการเว้นระยะห่างกันประมาณ 1-2 เมตรสิ่งเหล่านี้จะสามารถช่วยประชาชนให้ห่างไกลจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ดีกว่าการที่รัฐบาลออกมาพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในตอนหลังเที่ยงคืนอีก อย่างไรก็ดีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยังสามารถมีประสิทธิภาพได้หากเราฉีดในพื้นที่ปิดเต้นตามบ้านเรือนอาคารต่างๆที่มีผู้ติดเชื้ออยู่ซึ่งมันเป็นการเชื้อไวรัสเบื้องต้นที่จำเป็นต้องมีการทำ

 

 

สนับสนุนโดย  แทงหวยออมสิน

เทคนิคการดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคที่ใครๆก็รู้จักและคนไทยส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคนี้กัน ปัจจุบันเราให้โรคเบาหวานเป็นโรคยอดฮิตอันดับต้นๆที่ตรวจเจอรองจากโรคมะเร็ง  โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้องและการไม่รู้จักดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นหนึ่งในคนที่เป็นโรคเบาหวาน เรามีเทคนิคการดูแลตัวเองง่ายๆมาฝากกันคะ

ต้องไม่อยู่คนเดียว :  ผลจากการวิจัยพบว่าการอยู่คนเดียวทำให้คุณมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้สูงมากกว่าการอยู่ร่วมกับผู้อื่น  เพราะการอยู่คนเดียวคุณมักจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพ เช่นการกินข้าวหรือขนมหวานเยอะเกินความจำเป็นของร่างกาย ถ้าคุณได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นยิ่งกับกลุ่มที่รักสุขภาพด้วยแล้วพวกเค้าจะคอยเตือนสติให้คุณบริโภคแต่อาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

นอนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง : ในแต่ละวันคุณควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉลี่ยแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง และต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมง กรณีที่คุณนอนน้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณทำให้ไม่สามารถผลิตสารเคมีที่ป้องกันโรคขึ้่นมาได้ บางรายเกิดมีอาการหิวต้องการบริโภคอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเพิ่มมากขึ้นด้วย 

ไม่กินอาหารจังก์ฟู้ด (Junk Food)  :อาหารประเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณมากนัก ส่วนประกอบหลักๆจะเน้นพวกเป็นแป้ง ไขมันและน้ำตาล   เมื่อบริโภคเข้าไปมากๆร่างกายจะนำไปสะสมไว้รูปแบบของไขมัน ถ้าไขมันในร่างกายของคุณมีมากกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้คุณก็จะกลายเป็นโรคอ้วนซึ่งทำให้มีภาวะเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน

เน้นกินผักผลไม้ที่มีกากใยสูง :  ในแต่ละมื้ออาหารคุณต้องเน้นทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง เพราะนอกจากที่คุณจะได้วิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว กากใยอาหารยังช่วยเรื่องดักจับไขมันและช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารทำให้คุณขับถ่ายได้ง่ายไม่เป็นโรคท้องผูก แต่ผลไม้ที่คุณทานต้องไม่มีรสชาติหวานจนเกินไป

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  :  คุณควรจัดตารางการออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3-5 วัน โดยใช้เวลาวันละไม่ต่ำกว่า 30นาที  เนื่องจากการออกกำลังกายจะทำให้อินซูลินในร่างกายทำงานได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย

สุดท้ายนี้ถ้าคุณเริ่มลงมือปฎิบัติตัวตามเทคนิคที่เราแนะนำไว้ด้านบน เชื่อว่าคุณจะเป็นอีกหนึ่งคนที่ห่างไกลจากโรคเบาหวาน ถ้ารักตัวเองก็อย่ารอเวลารีบหันมาดูแลสุขภาพกันคะ

 

 

สนับสนุนโดย  แทงหวยมาเลย์

การป้องกันจากโรคเอดส์

             โรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราเสื่อมสภาพ ซึ่งเกิดจาการที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อเอชไอวีมานั้นเอง ดังนั้นก่อนที่จะสายโรคเอดส์นั้นมีวิธีการป้องกันตัวเองมากมาย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อคนที่ชอบเที่ยวเปลี่ยนคู่นอน ควรที่จะเรียนรู้วิธีการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคเอดส์ ปัจจุบันก็ยังพบว่ามีจำนวนคนมากมายที่มีเชื้อเอดส์ เกิดจาการที่ไม่รู้จักป้องกันตนเองเวลาไปเที่ยวกัน เรามาดูกันว่าวิธีการป้องกันตนเองนั้นมีอะไรกันบ้างที่ทุกคนควรเรียนรู้จักการป้องกันไว้

1.ควรหลีกเลี่ยงจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น  การไม่ใช้ฉีดยาร่วมกับคนอื่นถือว่าทุกคนควรใส่ใจกับเรื่องนี้ เพราะเราพลาดไปใช้ร่วมกับคนอื่น โดยที่เราไม่รู้ว่าเขามีเชื้อเอดส์อยู่อาจส่งผลให้เราติดเชื้อเอดส์มาจากเขาได้ ถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อการใช้เข็มฉีดร่วมกกัน

2.ควรรู้จักการใช้ถุงยางอนามัย  เป็นสิ่งที่ควรทำสำหรับคนที่ชอบเที่ยวหาคู่นอนเป็นประจำ หากเกิดการมีเพศสัมพันธ์กันควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันตนเองจากโรคเอดส์ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เป็นเอดส์นั้น ล้วนเกิดจากการไม่ใส่ถุงยางอนามัยกัน ทำให้ได้รับเชื้อเอดส์มาโดยไม่รู้ตัวกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้โรคเอดส์มีมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน

3.การป้องกันโดยการกินยาต้านเชื้อเอชไอวี  ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันเชื้อเอชไอวีได้ดี แต่ทุกครั้งที่จะกินยาตัวนี้ควรต้องไปปรึกษาทางหมอก่อนเสมอ แต่รับรองว่าการกินยาต้านเชื้อนั้นสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักกัน เป็นยาที่กินไปแล้วสามารถช่วยไม่ให้เชื้อเอชไอวีที่ติดเรามาไปลุกลามส่วนอื่น ๆของร่างกายเรา 

4.การพาคู่รักไปตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ  เป็นสิ่งที่คนมีคู่ควรใส่ใจกับเรื่องตรวจสุขภาพกัน หากใครไม่ไว้ใจกับคนรักของตนเอง เพราะบางที่อาจไปแอบนอนกับคนอื่นแล้วได้รับเชื้อเอชไอวีมาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรพากันไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นกันป้องกันและยังเป็นการดูแลสุขภาพของเราไปด้วย หรืออาจจะไปซื้อ  ชุดตรวจ hiv  เพื่อมาตรวจและถือว่าเป็นการป้องกันในระดับหนึ่ง

5.การป้องกันเชื้อเชไอวีในช่วงตั้งครรภ์  เป็นสิ่งที่คนท้องที่รู้ตังเองว่ามีเชื้อเอชไอวีอยู่แต่เกิดการตั้งท้องขึ้นมา ต้องควรไปปรึกษากับทางหมอ เพื่อจะได้ให้กินยาต้านเชื้อเอชไอวีไม่ให้เชื้อไปติดลูกเราได้ เป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้ลูกที่คลอดออกมานั้นได้รับเชื้อในระหว่างการคลอดออกมา 

ปวดแบบไหนใช้ “ยาพาราเซตามอล” ไม่ได้เรื่อง ?


ลักษณะของการปวดแบบแปลกๆ

กลุ่มที่มีลักษณะแปลกไปจากลักษณะของการปวดทื่อๆ ปวดจากเยื่อ หรือลักษณะของการปวดที่กดแล้วเจ็บ ได้แก่
– ลักษณะของการปวดเสมือนไฟช็อต
– ลักษณะของการปวดร่วมกับเสียวแปลบๆเป็นพักๆ
– ลักษณะของการปวดแสบ ปวดร้อน
– ลักษณะของการปวดร่วมกับอาการชา
– ลักษณะของการปวดแสบปวดแสบปวดร้อน
– ลักษณะของการปวดเสมือนมีเข็มเล็กๆทิ่มแทง

ปวดศรีษะที่เกิดขึ้นหลายครั้ง

ส่วนมากลักษณะของการปวดหัวที่เกิดขึ้นหลายครั้งแบบไม่ทราบต้นสายปลายเหตุมักมีเหตุมาจากการใช้ยาพาราเซตามอลมากเกินขนาด มากถึงกว่า 15 วันต่อเดือน หรือราว 2 – 3 เดือนต่อเนื่องกัน แนวทางดูง่ายๆ ว่าลักษณะของการปวดหัวจากไมเกรนที่มากถึงเดือนละ 3 – 4 ครั้ง หรือมีลักษณะอาการปวดศีรษะจากความเคร่งเครียดที่มีลักษณะเหมือนถูกบีบรัดสูงถึง 15 วันต่อเดือน ซึ่งลักษณะของการปวดหัวในลักษณะอย่างงี้ถึงรับประทานยาพาราเซตามอลเข้าไปก็ไม่ช่วยทำให้หายปวด ทั้งจะมีผลให้ลักษณะของการปวดทวีความร้ายแรงเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีลักษณะก็เลยจำเป็นต้องรีบเดินทางไปหาหมอเพื่อหาสิ่งที่ทำให้เกิดลักษณะของการปวดที่จริง และรับยาที่ช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดที่เหมาะสมแทนยาพาราเซมอลก็เลยคงจะได้ผลมากยิ่งกว่า

ปวดขั้นร้ายแรง

ลักษณะของการปวดขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้น บางทีอาจเป็นลักษณะของการปวดที่เกิดขึ้นมาจากอวัยวะภายใน ซึ่งทางด้านการแพทย์จะมีมิเตอร์ระดับความเจ็บปวดอยู่ที่ 0 – 10 ระดับ ระดับ 0 คือ ไม่มีลักษณะของการปวดเลย ส่วนระดับ 10 ก็คือ มีลักษณะอาการปวดมากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ปวดถึงขนาดดิ้นรนแบบทรงตัวไม่อยู่ ถ้าหากหมอประเมินแล้วว่าคนไข้มีการเจ็บไข้อยู่ในระดับตั้งแต่ 7 ขึ้นไป เช่น ปวดนิ่วในไต ปวดแผลผ่าตัด ลักษณะของการปวดที่เกิดขึ้นมาจากโรคมะเร็งบางประเภท ลักษณะของการปวดกล้ามเนื้อหัวใจจากสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ไปจนกระทั่งการปวดไมเกรนหนักๆ ลักษณะของการปวดกลุ่มนี้ไม่สามารถใช้ยาพาราเซตามอลช่วยทุเลาได้ ต้องใช้ยาพาราในกลุ่มทรามาดอลรวมทั้งมอร์ฟีน ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์หยุดการปวดขั้นร้ายแรงได้ แม้กระนั้นก็เป็นยาที่ส่งผลใกล้กันอยู่มากมาย จำต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของหมอ หรือเภสัชกรแค่นั้น

เจ็บท้องจากโรคกระเพาะและท้องเดิน

ลักษณะของการปวดท้องก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งลักษณะของการปวดที่สร้างความสับสนให้กับคนป่วยที่จะเลือกใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อทุเลาอาการได้ เช่น เจ็บท้องเพราะว่าท้องร่วง เจ็บท้องที่เกิดขึ้นจากลำไส้บีบตัว เจ็บท้องจากโรคกระเพาะ ไปจนกระทั่งลักษณะของการปวดแน่นหน้าอก หรือปวดรอบๆ กระเพาะเพราะเป็นกรดไหลย้อน โดยลักษณะของการปวดในกลุ่มนี้ไม่อาจจะใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อทุเลาอาการได้ เพราะว่าเป็นกรุ๊ปลักษณะของการปวดที่เกิดขึ้นจากความแปลกของระบบประสาทแล้วก็ระบบไส้ที่มีความผันแปร หรือมีเหตุมาจากการที่ก๊าซอยู่ในกระเพาะมากมาย ซึ่งยาที่จะช่วยทุเลาลักษณะของการเจ็บปวดจำพวกนี้ได้ก็คือยาลดกรด

อันตรายของโรคกรดไหลย้อนหากไม่รักษา

อันตรายของโรคกรดไหลย้อนหากไม่รักษา
กรดไหลย้อนในระยะแรกสามารถรักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยปะละเลยไม่สนใจให้หายเอง ก็จะยิ่งทำให้กรดไหลย้อนนั้ก่อให้เกิดแผลในหลอดอาหาร หรือหลอดอาหารตีบ ทำให้การกลืนอาหารลำบากขึ้น กลืนอาหารรู้สึกติด กลืนลำบาก หรือในบางรายจากกรดไหลย้อน แผลในหลอดอาหาร ก็อาจถึงขั้นเป็นมะเร็งที่หลอดอาหารเลยก็ได้ เพราะหลอดอาหารส่วนปลายมีการสัมผัสกับกรดมากเกินไป ทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

โรคกรดไหลย้อนกับการซื้อยารับประทานเอง
การซื้อยาตามร้านขายยามารับประทานเอง ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร ถือเป็นการดูแลตัวเองในเบื้องต้น แต่จะให้ดีควรมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าเป็นโรคใด เพราะในปัจจุบันโรคต่างๆ ได้พัฒนาขึ้น และมีอาการใกล้เคียงกันมาก วึ่งอาจจะไม่ได้แปลว่าอาการที่รู้สึกเป็นอาการกรดไหลย้อนเสมอไป ดังนั้น การซื้อยาลดกรดมารับประทานแม้จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องเสมอไป เพราะยาต่างๆ ถ้ารับประทานนานๆ หรือบ่อยๆ ก็คงไม่ส่งผลดีต่อร่างกายแน่นอน

การตรวจเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน
ผู้ป่วยที่มีอาการจำเพาะเจาะจงกับกรดไหลย้อน เช่น แสบร้อนกลางหน้าอก เรอเปรี้ยวในระยะแรกอาจไม่ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาลดกรดคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยที่หากมีการตอบสนองต่อการรักษาดี ก็มีโอกาสที่จะสรุปวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน

แต่หากรักษาเบื้องต้นโดยการให้ทานยาลดกรด กับปรับพฤติกรรมแล้วยังไม่หาย หรืออการคงเดิม ก็ต้องทำการตรวจขั้นตอนต่อไป โดยการตรวจที่แนะนำ คือ การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนบนเพื่อดูว่ามีโรคอื่นซ่อนอยู่หรือไม่ ในกรณีที่ต้องการผลการวินิจฉัยที่แน่นอนเพื่อวางแผนการรักษาในขั้นตอนถัดไป แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจวัดกรดในหลอดอาหาร 24 ชั่วโมงเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ล้างมือบ่อยๆ เพื่อสุขอนามัย เพื่อสุขภาพ และป้องกันโรค

“ล้างมือสักนิดเพื่อพิชิตสุขภาพ” ประโยคที่ไม่ได้พิมมาแค่ให้อ่านคล้องจองกันเท่านั้น แต่มันคือเรื่องจริง ที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง เพราะนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า “จากข้อมูลจากองค์การยูนิเซฟ พบว่าในแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคอุจจาระร่วงประมาณ 3.5 ล้านคน และโรคปอดบวมประมาณ 25% เพราะฉะนั้นการล้างมือที่ถูกต้องตามวิธีบัญญัติจะเป็นการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้อีกทางหนึ่ง โดยการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ถึง 50% การล้างมือจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพอนามัยที่ดี”
ในขณะที่ทั่วโลกมีความเป็นห่วงในเรื่องของการล้างมือการหยิบจับอะไรเข้าปาก แต่ประเทศไทยก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการล้างมือให้สะอาดเพียงพอ โดยนายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการสำรวจคนไทยโดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 512 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีพฤติกรรมมือสะอาด คือล้างมือฟอกสบู่ติดเป็นนิสัย กระทำทุกครั้งหลังจากเข้าห้องน้ำห้องส้วม และก่อนรับประทานอาหาร 25% หรือ 1 ใน 4 คน ส่วนใหญ่คือ 72% หลังเข้าห้องน้ำจะล้างมือบ้างไม่ล้างมือบ้าง และไม่เคยล้างมือเลย 3% ซึ่ง 2 กลุ่มหลังนี้ มีความเสี่ยงติดเชื้อและแพร่เชื้อโรคต่างๆ ที่ติดมากับมือ ไปสู่คนอื่นได้

หากเราไม่ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำและก่อนทานอาหาร จะเกิดโรคอะไรขึ้นบ้างนะ กับ 8 โรคอันตรายหากไม่ “ล้างมือ”
1. โรคอุจจาระร่วง
เกิดขึ้นจากเชื้อโรคหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ เชื้ออีโคไล ที่มาจากเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสที่ปนเปื้อนอยู่ในอุจจาระ สามารถปนเปื้อนมากับวัตดุดิบที่นำมาปรุงอาหาร และการสัมผัสจากมือที่หยิบจับอาหาร วัตถุดิบที่มีเชื้อไวรัสปะปน ไม่ได้ทำความสะอาดให้ดีพอ

2. โรคตับอักเสบชนิดเอ
และนี่คืออีกโรคที่เชื้อโรคพบอยู่ในอุจจาระ โรคตับอักเสบชนิดเอจะอยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย โดยสามารถติดต่อจากคนสู่คนโดยเชื้อเข้าสู่ปาก ซึ่งอาจมาจากการหยิบจับอาหารเข้าปากโดยตรง
3. โรคบิด
เกิดจากการไม่ทำความสะอาดมือหลังจากถ่ายอุจจาระ การแพร่เชื้อโดยการสัมผัสทางตรงกับสิ่งของต่าง ๆ หรือสัมผัสทางอ้อมกับอาหาร ส่วนการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำและอาหารโดย แมลงสาบ และแมลงวัน เกิดขึ้นได้จากสัตว์เหล่านี้นำเชื้อมาปนเปื้อน

4. โรคอหิวาตกโรค
เกิดโดยตรงกับการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อที่มีชีวิตปนอยู่ โดยเชื้อโรคตัวนี้มีความทนทานมากสามารถอยู่ในน้ำได้เป็นเวลานาน และผู้ที่ชอบบริโภคอาหารทะเลดิบ กึ่งดิบกึ่งสุก ก็สามารถน้ำเชื้อโรคตัวนี้เข้าสู่ร่างกายได้ และการใช้มือสัมผัสอาหารดิบ หรือน้ำที่มีเชื้อ จับต้องสัมผัสอาหารอื่นๆ รวมถึงจานชามช้อนส้อม

5. โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากระบาดมากในเด็กเล็ก เพราะติดต่อโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของผู้ป่วยโดยตรง หรือทางอ้อม เช่น สัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ กับผู้ใหญ่ที่ดูแลความสะอาดของมือไม่ดีพอ ก็สามารถติดเชื้อและเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน

6. โรคตาแดง
โรคตาแดงจะพบระบาดหนักในช่วงหน้าฝน แต่จริงๆ แล้วสามารถเกิดได้ทุกฤดูกาล เกิดจากการที่เยื่อบุตาติดเชื้อไวรัส กลุ่มอาดิโนไวรัส สามารถติดต่อจากการสัมผัสน้ำตาของผู้ป่วย และแพร่จากนิ้วมือมาติดที่ตาโดยตรง โรคตาแดงติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มป่วย อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้ตาพิการได้

7. กลากเกลื้อน
กลาก และเกลื้อน เป็นคนละโรคกัน แต่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งได้ด้วยการสัมผัส โดยอาจเป็นการสัมผัสจากมือที่รอยกลากเกลื้อนโดยตรง หรือเป็นการติดเชื้อจากการสัมผัสของเชื้อราติดต่อกันจากข้างของเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงสิ่งของตามสถานที่สาธารณะ

8. ไข้หวัด
อาจเป็นได้ทั้งไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดประเภทอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดต่อของเชื้อไวรัสที่มาจากการไอ จาม ละอองน้ำลายที่อาจได้รับผ่านอากาศ หรือการไอจามรดมือแล้วมือของผู้ป่วยสัมผัสกับข้างของเครื่องใช้ต่างๆ และอาจเป็นสิ่งของตามสถานที่สาธารณะ เช่น ราวจับบนรถโดยสาร เสา ลูกบิดประตู เป็นต้น

ล้างมือบ่อยแค่ไหน ถึงจะปลอดภัย
ถึงบแม้ว่าบทความนี้จะแนะนำให้ผู้อ่านล้างมือบ่อยๆ เพื่อเอาเชื้อโรคออกจากมือ หรือทำเป็นพฤติกรรม เป็นนิสัย แต่ใช่ว่าเราควรที่จะล้างมือทุกๆ 10 นาที เพราะมันคงจะดูเป็นการลำบากเกินไป และอาจทำให้มือเปื่อยและแห้งโดยไม่รู้ ดังนั้นการล้างมือจึงขอแนะนำเป็นอย่างน้อยผู้อ่านควรล้างมือบ้างในช่วงเวลาดังต่อไปนี้
• หลังเข้าห้องน้ำ ไม่ว่าจะห้องน้ำสาธารณะ หรือห้องน้ำที่บ้านตัวเอง

• ก่อนหยิบจับอาหารเข้าปากโดยตรง

• ก่อนปรุงอาหาร และรับประทานอาหาร แม้ว่าจะไม่ใช้มือจับอาหารโดยตรง แต่มือที่สัมผัสกับเชื้อโรคอาจติดไปกับอุปกรณ์ในการทำอาหาร หรือจานชามช้อนส้อมที่จะใช้ในการรับประทานอาหารได้

• หลังกลับมาจากนอกบ้าน

• หลังคลุกคลีอยู่กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรค หรือเชื้อไวรัสต่างๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้น

• ก่อนสัมผัสกับเยื่อบุผิวหนังในร่างกายของตัวเอง เช่น ล้างมือก่อนใส่คอนแทคเลนส์ ขยี้ตา แคะจมูก ดูดนิ้ว หรือสัมผัสกับแผลของตัวเอง